“PMP ใบ Certificate ที่น่าเชื่อถือที่สุดสำหรับ Project Manager ทั้งในไทยและระดับโลก”
สวัสดีครับ ผมชื่อ นัท นะครับ วันนี้ผมก็จะมารีวิวการสอบ PMP ใบ Certificate ของ PMI ที่น่าเชื่อถือที่สุดในวงการ Project Manager ระดับโลก และก็สามารถใช้ได้ในเมืองไทย ถามว่าที่มาที่ผมสอบ PMP นี้เพราะอะไร มันเกิดจากที่เมื่อประมาน 2 เดือนก่อนผมได้คุยกับเพื่อนเล่นๆที่ทำงานแล้วแต่ขยันเรียนรามเอาปริญญาเพิ่ม แล้วก็นึกขี้นมาได้ว่ามันเราก็มีเป้า Milestone ที่ประมาน 3–4 ปีก่อนที่เราตั้งไว้ว่าเราจะสอบ PMP ให้ผ่านเหมือนกันนะ หลังจากได้เราได้เรียนคอร์ส Google Project Management และได้ย้ายมาทำงานด้าน Project Management ประสบการณ์ 3 ปีกว่ากำลังเหมาะเจาะพอดี ก็เลยถือโอกาสย้อนวัยไปสมัยมหาวิทยาลัยที่เหมือนมาสอบอะไรสักอย่างให้ผ่านอีกครั้ง นี่ครับเผื่อใครอยากอ่านย้อนคอร์ส Google ที่ผมเคยรีวิว
[Review] คอร์ส Google Project Management: Professional Certificate | by Nut P | Medium
ก่อนเข้าไปที่เนื้อหาหลักของเรา ขออนุญาตเล่าประวัติสั้นๆผมก่อน ปัจจุบันผมกำลังทำงาน PM ในสายธนาคาร ผลิตภัณฑ์ Innovation ซึ่งมีประสบการณ์ประมาน 3 ปีกว่าๆ ก่อนหน้ามาทำสายนี้ก็มาจากธนาคารเหมือนกันแต่เป็น Business Analyst ด้าน Tech ที่ก็มีการลง Project และก่อนหน้าก็เคยทำฝั่ง Vendor ด้วยครับ ประเภท Project ที่เคยทำ ก็เคยทำหมด ทั้ง Hybrid, Waterfall (Predictive) และ Agile ประยุกต์สำหรับไซส์ Corporate
เหตุผลที่หาเรื่องให้ตัวเองเหนื่อยมาสอบ PMP ทั้งที่ก็ทำด้าน Project Management ได้อยู่แล้ว และถ้าไม่นับสิ่งที่เคยตั้งเป้าไว้ คือ
- มัน Cool ดี สนอง Need ตัวเอง (ง่ายๆแค่นี้เลยไม่ต้องคิดมาก 55)
- เผื่อได้อัพเงินเดือน หรือได้โอกาสความก้าวหน้าที่มากกว่า
- ประดับความรู้เพิ่มเติมในเรื่อง Project Management
ถามว่าช่วงเตรียมสอบว่างไหม ก็ไม่ได้ว่างมาก แต่ยังพอมี Room อ่านหนังสือบ้าง หลังจากเพิ่งผ่านช่วงหนักๆของ Project มา แต่ก็ถือว่ายังหนักหน่วงอยู่ดี เอาเป็นว่าถ้าตัดเรื่องงานออกไป แค่ผมขับรถไปกลับจากที่ทำงานเฉลี่ย 3 ชม. ทุกวัน แค่นี้ก็ Consume พลังงานมากแล้ว จะกลับมาอ่านหนังสือทีหมดแรง แต่ก็ยังฝืน ถึงขนาดการสอบรอบนี้ผมได้ Unlock สกิลใหม่ทำ Mock Exam ระหว่างขับรถไปด้วยได้ เก่งไหมล่ะ (โชคดียังมีชีวิตรอดจนมาถึงวันนี้ 55)
สรุปสั้นๆทุกคนมีเวลา 24 ชม. เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะให้ Priority อะไรสำคัญกว่า ก็เหมือนกับการสอบ PMP นี้ ถ้าเพื่อนให้ความสำคัญกับมัน ต่อให้ยุ่งแค่ไหน เพื่อนๆก็จะเจอเวลาที่สามารถอ่านหนังสือได้แน่นอน
โอเคร ก็ประมานนี้ครับ ทุกคนจะได้พอรู้ Vibe ผมที่จะเขียนรีวิว ก็ลองดูครับ ว่าเพื่อนๆจะควรสอบตัว PMP นี้ไหม ใครพร้อมก็ไปอ่านรีวิวจริงๆกันได้เลย Go Go!!
การสอบ PMP นี้เหมาะกับใคร มีประโยชน์อะไร?
ก่อนอื่นบอกเลยก็คือ PMP เป็น Certificate ระดับ Global ที่ได้รับการยอมรับมากสุดในไทย ซึ่ง Cer ออกโดยสถาบัน PMI จากประเทศ USA อย่างของยุโรปก็จะมี Cer PM ที่เรียกว่า PRINC2 แต่อันนี้คนไทยรู้จักน้อยกว่า และถ้าลง Deep ไปอีกของ Cer PMI ก็จะมี Cer อื่นอีกมากมาย เช่น PMI-ACP ที่เป็น Agile PM, PgMP ที่เป็น Program Management หรือ PMI‑CPMAI สำหรับ AI PM ก็มี
สรุปสั้นๆคือถ้าไม่นับเอาความรู้ >> Cer ที่ได้รับการยอมรับในไทย และมีผลเรื่องการสมัครงานด้าน PM จริงๆ ก็คือมี PMP อย่างเดียวครับ หรือถ้าจะให้นับ Scrum Master ด้วยก็อาจรวม Cer CSM และ CSM I ที่พอเอาไป Claim สมัครงานได้
กลับมาที่ PMP เหมาะกับใคร เอาแบบ Must have ก่อนนะ เป็น Project Manager ที่ทำงานสาย Vendor หรือแบบ Outsource เป็นอย่างยิ่งกับบริษัทที่ทำงานกับหน่วยงานราชการ เพราะ หลาย Project เขาจะเขียน Qualification ของ Project Manager เลยว่าต้องมี PMP หรืออย่างอื่นเทียบเท่า อาจจะไม่ใช่แค่โปรเจคด้าน IT อย่างเดียว งานอื่นๆหรือโปรเจครับเหมาบางงานก็ Required เหมือนกัน เอาเป็นว่าใครทำงานเป็น Project Manager สายพวกนี้ต้องมี
ในขณะที่ถ้าเป็น Project Manager สาย Corporate สายธนาคาร แบบผมนี่ รวมไปถึงสาย Startup เป็น Nice to have เพราะสุดท้ายการวัดใครเป็น Project Manager เก่งไม่เก่ง ไม่ได้อยู่ที่ใบ Cer มันอยู่ที่สกิลกับประสบการณ์ แต่ถ้าโปรโฟล์เท่าๆกัน คนที่มี PMP ก็น่าจะมีภาษีที่ดีกว่า อย่างน้อยมันก็พอจะ Prove ได้ว่ามีความรู้ด้าน PM มาจริงอะน่า ไม่ใช่แค่มาจากลมปาก
อย่างก่อนที่ผมมาสอบอันนี้ ผมก็มีได้คุยกับพี่ที่มี PMP ที่เคยทำฝั่ง Vendor และได้ย้ายมาทำฝั่งธนาคาร พี่เขาก็บอกมาว่าสอบไปทำไม สอบ PMP ไปก็ไม่มีประโยชน์เท่าไรถ้ามาทำฝั่ง Corporate ถ้าอยากใช้ประโยชน์จากมันสูงสุดจริงๆ ต้องไปทำฝั่ง Vendor
ในส่วนการหางานที่ต่างประเทศ ผมมีคุยกับพี่คนนึงที่ก่อนหน้าที่เรียนที่ USA และมีได้สอบ PMP ก็บอกว่าเพราะ PMP เลย ทำให้พี่ได้ที่งาน USA เป็นงานแรก ก็แปลว่าถ้าเรามี Cer PMP ตัวนี้ก็อาจมีการเพิ่มโอกาสขยายไปทำงานต่างประเทศได้อีกด้วย
ในด้านเงินเดือนจังหวะนี้ผมคงบอกอะไรไม่ได้มาก แต่ถ้าเอาข้อมูลจาก Internet เว็บหางานจาก USA เขาบอก PM คนที่ไม่มี PMP เงินเดือนเฉลี่ยอยู่ที่ 250K ในขณะที่คนที่มี PMP จะอยู่ที่ 333K ++ ส่วนของไทยเขาบอกเงินเดือนเฉลี่ยของ PM ที่ไม่มี PMP จะอยู่ที่ 90K ในขณะที่มี PMP จะกระโดดไป 95k–150k เลย มากกว่าประมาน 20–30% แต่ถึงอย่างไรก็ดี ตามที่ผมบอก มันก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ และ Industry ที่สมัคร Role PM นะหลักๆ
สรุปแบบถ้าโลกไม่สวยก็คือมี PMP ดีกว่าไม่มี ใครที่ทำสาย Project Manager ถ้ามีเวลา ก็ควรสอบให้มีดีกว่าครับ หรือถ้าคุณมีความสามารถที่เก่งพอก็ไม่ต้องสอบก็ได้ มีคนอีกเยอะแยะที่ประสบความสำเร็จสายนี้ แต่ไม่มี PMP
ส่วนถ้าใครอยากได้แค่ความรู้ด้าน Project Management เพิ่มอย่างเดียว ผมก็แนะนำไปหลายคนล่ะ ให้ลงเรียนคอร์ส Google PM พอ เพราะ หลังจากสอบ PMP ผ่าน เราจะมีภาระที่ต้องต่อ Cer ทุกๆ 3 ปี โดยต้องเก็บ ชม. เรียนประมาน 60 ชม และจ่ายเงินค่าต่ออายุอีกประมาน 5,000 บาท ก็ไม่รู้จะมาจ่ายเงิน และ Suffer กับการสอบทำไม
อันนี้คือคะแนนที่ผมได้ สอบเสร็จคือรู้ผลเขาปริ้นให้เลย
ส่วนอันนี้คือ Certificate ก็ได้ตามมาทีหลังช่วงดึกๆของวันนั้นที่ผมสอบ
https://www.credly.com/badges/2fc1459b-15e7-428c-ad61-04f06bf1abbe/public_url
ค่าสอบแพงไหม?
ณ ปี 2025 ราคาสมัครสอบเต็มอยู่ที่ $575 (19,000 THB) แต่ถ้าสมัคร PMI Member $139 (4,500 THB) จะได้ค่าสมัครเหลือ $324 (10,600 THB) ซึ่งรวมๆแล้วจะสมัครได้ถูกกว่า 4,000 THB ก็แนะนำว่าสมัคร Member ดีกว่าครับ อายุ 1 ปี ได้หนังสือ E-Book ใช้สอบแถมมาด้วย (PMBOK 7th Edition กับ Agile และอื่นๆในเครือ PMI) ส่วนค่าต่ออายุทุก 3 ปี ก็ Non-member $150 (5,000 THB) และ Member $60 (2,000 THB)
สำหรับใครที่สมัคร Member แล้วไม่อยากต่อปีต่อไป ก็อย่าลืมปลด Auto renewal ด้วยนะครับ
ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมค่าหนังสือนอกเหนือที่เขาแจกมา รวมถึง Mock Exam ที่ใช้อ่านสอบ และพวกค่าสมัคร Thai Chapter อีก $30 ที่ผมไม่สมัคร เพราะ ไม่รู้จะสมัครไปทำไม 55
ก็พวกค่าอื่นๆอย่างพวกหนังสือที่ไปหาเพิ่ม ผมไม่ได้มีการออกเพิ่มเลยครับ พอดีผมสามารถหาแหล่ง E-Book ที่ใช้อ่านมาเองได้ และผมก็ไม่ได้มีลงเรียนคอร์สออนไลน์หรือเรียนกับใครเพิ่มใดๆครับ
สรุปผมโดนค่าเจ็บสอบครั้งนี้ไป 139 + (324 x 0.9) = $430.6 (ประมาน 14,000 THB)
(ไปบังเอิญ Search FB มั่วๆ แล้วได้ Code ส่วนลด 10% ก็เพื่อนๆก่อนจ่ายเงินไปลอง Search ก่อนก็ดีครับ เผื่อได้ฟลุ๊กส่วนลดแบบรูปด้านล่างนี้)
สมัครสอบ PMP ยังไง และช่วงเวลาถึงก่อนวันสอบเป็นยังไง?
เอาจาก Timeline จริงที่ผมสมัครและเตรียมตัวสอบเลยมา
- ช่วงปลายเดือน Aug 25 คุยกับเพื่อนแล้วรู้ว่ามีประสบการณ์ Manage Project มา 3 ปีกว่าแล้วล่ะ ถึงเวลาควรสอบ PMP แล้ว
- ใช้ ChatGPT วางแผนสอบ PMP ให้ แล้วก็เพิ่งรู้ว่าประสบการณ์ที่ PMP required 3 ปี ไม่ต้องเป็น PM ขอแค่มีประสบการณ์ลง Project ก็พอ อย่างก่อนหน้าที่ผมเป็น BA 2 ปี ก็เอามา Refer ก็ได้ สรุปถ้ารวมกับประสบการ PM ปัจจุบัน ผมมีประสบการณ์ 5 ปี
- มีเก็บ ชม. เรียน PM อย่างน้อย 35 ชม. อย่างของผมมีเรียนคอร์ส Google PM ประมาน 3–4 ปีที่แล้ว ก็ใช้ตัวนั้นไปโลด
- วันที่ 1 Sep 25 ผมเข้าสมัครมาสอบ PMP แบบ Blankๆ เริ่มจากเข้าเว็บ https://www.pmi.org/
กรอกข้อมูลประสบการณ์เรียนให้ครบ 35 ชม. จากที่เรียน Google PM
ใช้ ChatGPT ช่วยเขียนประสบการณ์ 2 ที่ 5 ปี ประมาน 5 นาที
รอลุ้น PMI Review ว่าจะโดน Audit ไหม ถ้าโดน ต้องไปให้หัวหน้าเซ็นรับรอง
5. วันที่ 6 Sep มีอีเมลส่งมาบอกรีวิวผ่านแล้ว รอด ดีใจ ไม่ต้องไปให้ใครเซ็น
6. ต่อไปก็ถึงเวลาจ่ายเงินค่าสมัคร แต่ที่นี่แปลกถ้าเรายังไม่จ่ายเงิน เราจะไม่เห็นเลยว่าจะจองวันสอบได้วันไหนบ้าง แต่ไม่ต้องห่วง ผมเช็กแล้ว 1 อาทิตย์ล่วงหน้าก็จองได้ถ้าสอบแบบ Onsite หรือถ้าสอบที่บ้านสมัครได้แทบทุกวัน ไม่ต้องรีบจ่ายเงิน อ่านให้พร้อมก่อน แต่ขอให้สมัครภายใน 1 ปี ก่อนใบ App หมดอายุ
7. Step ต่อไป ผมก็ไปหาพวก Mock Exam และหนังสืออ่านเสริมเพิ่ม ผมไปโหลดออนไลน์เป็น E-Book จาก Scribd มีเพียบก็ลองไปดูกัน ซึ่งหลังจากนั้นผมก็ Import ลงแอป Goodnotes อ่านใน iPad
8. อ่านหนังสือ PMBOK Guide 7th Edition ไปครึ่งเล่ม กับ Rita ประมาน 2 บท และ Agile Practice Guide อีกนิดๆ แล้วรู้สึกไม่ Work Abstract เกิน ไม่ได้ทำข้อสอบ
เป็นปัญหา อ่านเล่มไหนดีฟะ โหลดมาซะเยอะแยะ
สุดท้ายให้ ChatGPT ช่วย และมันบอกว่าให้อ่านของ Andrew พอ ผมก็จัดไป เพราะ หนังสือมันมีให้ทำข้อสอบท้ายบทด้วย เหมือนเป็นการ Learning by Doing ผมชอบ
และหลังจากนั้นผมก็ไปดูคลิปของ Andrew ใน Youtube ก็รู้ว่า PMBOK Guide 7th Edition มันจะอัปเดตเป็น 8th Edition แล้วใน Jan 26 ก็ไม่รู้เลยว่าแนวข้อสอบจะเปลี่ยนแปลงขนาดไหน เป็นเหตุที่ผมตั้งเป้ารีบสอบให้จบภายในปี และใช้เวลาเตรียมตัวสอบไม่เกิน 2 เดือน
9. เริ่มอ่านหนังสือของ Andrew ตอน 11 Sep แบบพยายามทุกวัน วันละนิด จบ 22 Sep ทำแบบฝึกหัดหลังบทได้ 63%
10. อ่านหนังสือของ Andrew รอบ 2 อีกที + ทำสรุปจบ ทำแบบฝึกหัดหลังบทได้ 81% วันที่ 10 Oct
11. 11 Oct กดจ่ายเงินจองวันสอบที่ มธ. รังสิต วันอาทิตย์ที่ 26 Oct เพราะเป็นที่เดียวที่มีสอบนอกจากวันธรรมดา
12. ดูคลิป Youtube Andrew 50 PMP Mindset Principle ระหว่างขับรถไป-กลับทำงานที่เฉลี่ยวันละ 3 ชม. + เอา Mock Exam ของ Skill Valley มาทำเรื่อยๆ 1 ชุด แบบไม่ตั้งใจ ว่างๆก็หยิบมา iPad มากา เสร็จวันที่ 18 Oct ได้ 59% (ชิบเป๋งละ ตกนะเนี่ย 55)
13. ทำสรุปลง Medium + ทำ Mock Exam Andrew ท้ายเล่ม 1 ชุด แบบจริงจังจับเวลาทีละ 30 ข้อ รวม 180 ข้อ ได้ 71% ใช้เวลา 143 นาที (ถึง 70% แล้วน่าจะรอด)
14. แล้วก็ถึงวันสอบวันที่ 26 Oct รวมๆใช้เวลาเตรียมตัวสอบประมานเกือบ 2 เดือน
ข้อสอบยากไหม?
ข้อสอบ PMP มีทั้งหมด 180 ข้อ มีเวลาให้ 230 นาที ต้องทำได้ 61% ++ (110 ข้อ) แต่ถ้าเซฟๆก็ 70% (125 ข้อ) ขึ้นอยู่กับที่ระบบประเมิน ข้อสอบเน้นเป็นแนววิเคราะห์ แต่ก็ยังต้องมีท่องจำ มีหลายข้อที่คลุมเคลือ แต่เราต้องเลือกข้อที่ดูดีที่สุดให้ตรงตาม PMP Mindset ก็ข้อสอบถือว่าค่อนข้างยากอยู่ ถ้าไม่เตรียมตัวอ่านมา ไม่น่าผ่าน ต่อให้มีประสบการณ์ทำงาน PM มามากขนาดไหน แต่ที่เจอตอนทำงานจริงกับทฤษฎีบางครั้งมันไม่เหมือนกัน ยิ่งถ้าทำ PM ที่ไทย อย่างผมมีประสบการณ์ PM 3 ปี ใช้เวลาเตรียมตัวประมาน 2 เดือน รายละเอียดเชิงลึก สามารถอ่านต่อได้ในสรุปตอน Introduction ของอีกบทความได้เลย
https://medium.com/p/c2459a422ef4
บรรยากาศตอนสอบเป็นยังไง?
วันก่อนสอบ นอนไม่ค่อยหลับเนื่องจากสมองแล่นเกินจากการเขียนรีวิวบทความอันนี้แหละ หลับตอนตี 1 ครึ่ง ตื่นตี 5 ตื่นมางัวเงียนิดหน่อย ไปถึงที่สอบก่อน 1 ชม. ที่ มธ. รังสิต ตึก SC2 มีเด็กมาสอบ TU GET ในตึกเดียวกันเพียบ เหมือนย้อนวัยไปฟิลสมัยมัธยมสอบ Smart 1
ตอนสักก่อนสอบ 30 นาที เจ้าหน้าที่ก็จะเรียกให้ไปลงทะเบียนครับ โดยเราต้องเอา Passport ไปด้วย ถ้าลืมเอาไป เขาอนุโลมสามารถให้ใช้บัตรประชาชน พร้อมบัตรเครดิตที่มีลายเซ็นแทนได้ แต่ก็แนะนำเตรียม Passport ไปดีกว่า
ส่วนนี้คือบรรยากาศหน้าห้องสอบเงียบๆเหงาๆที่ผมพาน้องเป็ดไปด้วยตอนรอเป็นเพื่อน
หลังจากลงทะเบียนเสร็จ เจ้าหน้าที่เขาจะให้กุญแจตู้ล็อกเกอร์มาหนึ่งอัน ซึ่งเราต้องเอาของทั้งหมดรวมถึงกระเป๋าตังเอาไปเก็บที่ตู้ล็อกเกอร์เล็กๆทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสนั่น ผมเลยต้องพาน้องเป็ดกลับไปเก็บที่รถทันใด เพราะ ตัวใหญ่ไป😂
ส่วนน้ำสามารถวางเอาไว้หน้าห้อง มาดื่มตอนพัก Break ได้
รอบผมมีคนสอบ PMP คนเดียว แต่ในห้องก็มีคนสอบอย่างอื่นด้วยอย่าง GMAT รวมกัน แนะนำว่าให้เตรียมเสื้อกันหนาวไปด้วย แอร์ค่อนข้างเย็น ยิ่งตอนช่วงท้าย ที่คนออกจากห้องกันหมดแล้ว แล้วเหลือแต่เรา หนาวมากก
ถามว่าตื่นเต้นไหม บอกเลยโครตตื่นเต้น กลัวไม่ผ่าน 55
ตอนทำข้อสอบฟิลลิ่งทำบน iPad กับอ่านบนจอคอมไม่เหมือนกัน ตอนทำบนจอคอมใช้เวลาอ่านนานกว่าเยอะเลย ตอน Mock Exam ผมใช้เวลาทำข้อสอบ 180 ข้อ 141 นาที ตอนสนามจริงใช้เวลาทั้งหมด 216 นาที จาก 230 นาที เกือบใช้เต็มเวลา ยิ่งเป็นพาร์ท 60 ข้อแรกผมใช้เวลามากกว่าที่เตรียมไว้คือประมาน 85 นาที (แพรนไว้เต็มที่ไม่เกินพาร์ทละ 75 นาที) ตอนแรกเลิ๊กลั๊กละกลัวทำไม่ทัน แต่เหมือน 120 ข้อหลังทำเร็วขึ้น สุดท้ายก็ทำทันสบายๆ
ไม่ได้กลับมาย้อนทำข้อที่ไม่แน่ใจเลย ข้อไหนทำไม่ชัว ผมตอบมั่วแล้วใช้ฟีเจอร์ Flagged ไว้ ผมมี Flagged ไว้ 38 ข้อ ที่ไม่ชัว มั่ว ส่วนข้อที่ไม่ Flagged คิดว่าน่าจะถูก แต่ก็ไม่รู้ถูกไหม แต่ผลออกมาคือผ่าน แปลว่าถูก 555
ถามว่าทำไม ไม่กลับมาย้อนรีวิวข้อ Flagged ถ้าตอบตามตรง คือ ไม่ไหว ไม่มีพลังงานแล้ว หัวสมองเบลอ แบบอารมณ์ว่า ตูเชื่อในตัวตนในอดีตที่มั่วข้อนี้ละกัน
ข้อสอบง่ายกว่าตอนทำ Mock Exam รอบผมส่วนตัวจากความรู้สึก Agile + Hybrid 70% ++ จนคิดว่ายุบรวมสอบ PMP กับ PMI-ACP ไปเหอะ ส่วนใหญ่โจทย์ออกแค่ถามว่าเป็น PM ในสถานการณ์นี้ทำยังไง ก็คือส่วนใหญ่ตอบ ถามทีม ประเมิน Impact ก่อน คิดไม่ออกส่งทีมไป Training ตอบวนไปซ้ำๆ ท่องจำแทบไม่เจอ ตัว CPI/SPI เจอประมาน 3 ข้อ ไม่เจอคำนวนเลย ส่วนจับคู่เจอ 6 ข้อ
เบรกทีให้พัก 10 นาที หลังจากเสร็จทุกๆ 60 ข้อ อันนี้ผมก็เบรกรอบละ 5 นาที ไปกินน้ำ เข้าห้องน้ำ ทำสมองให้ Brightๆ (ไม่นับเวลา)
ความรู้สึกหลังสอบ?
มันเป็นช่วงระยะเวลาที่นานจริงๆที่ใช้เวลาสอบติดต่อกันเกือบ 4 ชม. มากที่สุดในชีวิต ซึ่งพอทำเสร็จ 180 ข้อ โครตลุ้นผล แบบอย่าให้ตูต้องมาเจอ Experience นี้อีกเลย ซึ่งหลังจากทำ Survey เสร็จ เจ้าหน้าที่คุมสอบก็จะเรียกให้ไปดูผลอีกห้อง แล้วผลที่ออกมานั้นคือ
ผ่านนนนนนนนน!! 🎉🎉🎉
ฟิลลิ่งตอนนั้นคือ แบบโล่งอก พ้นทุกข์ล่ะ ไม่ต้องกลับไปใช้ชีวิตเหมือน 2 เดือนที่ผ่านมาอีกแล้ววว ไปใช้ชีวิตปกติได้ล่ะ ดีใจ โชคดีสอบผ่านรอบเดียวจบ คือ ถ้าไม่ผ่านเนี่ย ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะไปสอบอีกรอบมั้ย ประสบการณ์นั่งสอบสี่ ชม. อีกครั้งแค่คิดก็ทรมานล่ะ
คะแนนผมได้ Above Target 2 พาร์ท อีก 1 พาร์ท คือได้ Target ซึ่งก็ไม่รู้คะแนนที่ได้ถูกกี่ % แต่ที่ผมถาม ChatGPT คือ ก็ลองไปดูกัน แต่ง่ายๆคือผลที่ได้คือได้คะแนนมากกว่าที่ซ้อมใน Mock Exam
Above Target (AT) ทำได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยผู้สอบส่วนใหญ่≈ 75–100%
Target (T) อยู่ในระดับเฉลี่ยของผู้สอบทั่วโลก ≈ 61–74%
Below Target (BT) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย แต่ยังมีบางส่วนที่เข้าใจ ≈ 50–60%
Needs Improvement (NI) ต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ < 50%
สรุปส่งท้าย
ก็จบไปแล้วครับกับการรีวิวสอบ PMP หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนไม่มากก็น้อยนะครับ ผมเชื่อว่าวิธีการเตรียมตัวสอบของแต่ละคนให้มีประสิทธิภาพมีสูตรไม่ตายตัวครับ ก็ลองเอาจากประสบการณ์ของผมไป Adapt ดู มีอะไรก็ทักมาคุยกัน มาแชร์กันได้ครับ นี่ FB ผม
https://www.facebook.com/inut.panpp/
ทุกอย่างไม่มีสูตรสำเร็จ มีแต่คุณนี่แหละที่ต้องสร้างสูตรสำเร็จเอง และลองเอามันไปใช้ไปในสถานการณ์ที่คุณคิดว่าเหมาะสมที่สุด
อย่าหวังจะได้อะไร ในสิ่งที่คุณพยายามไม่มากพอ เพราะ มันไม่มีอะไรในโลกนี้ได้มาฟรีๆ
และถ้าจะพยายามทั้งที ก็ขอพยายามให้ถูกที่ด้วย
สุดท้ายนี้ ผมก็ไม่อยากให้ความรู้จากการสอบเก็บไว้ที่ผมตัวคนเดียวแล้วลืมจากไป ผมเชื่อว่าการแบ่งปัน มันจะมีสิ่งดีๆกลับมา ก็เลยขออนุญาตฝากสรุปเนื้อหาแนวข้อสอบ 15 บท ที่ผมใช้อ่านเตรียมก่อนเข้าห้องสอบแล้วผ่าน ไว้ในลิงก์ด้านล่างนี้ ก็คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆครับ และถ้าส่วนไหนมีผิดพลาดอะไรก็ขออภัยล่วงหน้าก่อนเลยนะครับ ใครที่ไปสอบ ขอให้สอบผ่านภายในรอบเดียวกันทุกคน เพี้ยง 😁
อีกรีวิวสอบนึงที่น่าสนใจ PSM I เป็นการสอบเอาความรู้ด้าน Scrum Master อันนี้ง่ายกว่าเยอะ ผมใช้เวลาอ่านอีก 3 วันหลังสอบ PMP เสร็จ แล้วสอบตัวนี้ผ่านต่อเลย เผื่อใครสน
https://medium.com/p/1aa7b30d7ba2
สำหรับใครติดตามจนจบ ก็อย่าลืมกด Follow กัน เพื่อติดตามบทความดีแบบนี้อีกนะฮะ แล้วเจอกันในบทความหน้าครับ ก็ขอจบเพียงเท่านี้ครับ ขอบคุณครับผม 🤗🤗
Learn more about Review สอบ PMP เริ่มจาก 0 ฉบับ Road to Project Manager
